บำรุงราษฎร์ ฉายภาพใหญ่ปี 2023 ก้าวสู่ปีแห่งความเป็นเลิศ พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ใหม่และทิศทางดำเนินงานสู่ความสำเร็จด้าน Medical and Wellness Destination
ปี 2566 นับเป็นอีกปีที่น่าจับตามอง เพราะเป็นปีที่พลิกฟื้นจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งแต่ปลายปี 2565 เริ่มมีสัญญาณแนวโน้มที่ดีขึ้น ด้วยปัจจัยหลายประการ อาทิ เศรษฐกิจภายในประเทศที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่กลับมาใช้บริการที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2566 นี้จะมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับปีก่อนโควิด-19 ที่ประมาณร้อยละ 50 ซึ่งการเปิดประเทศบวกกับกระแสการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ได้ช่วยส่งเสริมให้ตลาด Medical & Wellness Tourism รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า “บำรุงราษฎร์ ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ประกาศตั้งเป้าสู่ปีแห่งความเป็นเลิศ (Year of Excellence) ในงานแถลงข่าวปี 2566 และพร้อมมุ่งมั่นเพื่อก้าวสู่จุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ใหม่ของปีนี้ ด้วยการผนึกความเชี่ยวชาญและต่อยอดของการรักษาโรคซับซ้อนเข้ากับการดูแลเชิงป้องกัน โดยบำรุงราษฎร์ริเริ่มและวางรากฐานเวชศาสตร์เชิงป้องกันเป็นแห่งแรกในเอเชีย ภายใต้ชื่อศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ซึ่งเป็นสถาบันเวชศาสตร์ชะลอวัยแบบบูรณาการ โดยยังคงยึดหลัก 4C1W เป็นปัจจัยหลักเพื่อก้าวสู่ปีแห่งความเป็นเลิศ ประกอบด้วย 1. Critical Care การรักษาผู้ป่วยภาวะวิกฤต 2. Complicated Care การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนหลายโรคหรือโรคหายาก 3. Cutting-edge technology การให้ความสำคัญและประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี 4. Collaboration of expertise and partners การทำงานที่สอดประสานกันและการแสวงพันธมิตรที่เข้มแข็ง และ 1. W = Wellness การแพทย์เชิงป้องกัน”
ในปี 2565 บำรุงราษฎร์มีบทพิสูจน์ความสำเร็จมากมาย ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษาผู้ป่วยภาวะวิกฤต และการดูแลโรคซับซ้อน ได้แก่ การเปิด ‘แผนกผู้ป่วยวิกฤตระบบประสาทและไขสันหลัง’ (Neurocritical Care Unit: NCCU), การเปิด ‘ศูนย์เฉพาะทางด้านการทำงานระบบทางเดินอาหาร’ (Gastrointestinal Motility Center), การเปิด ‘ศูนย์ปลูกถ่ายกระจกตา’ (Cornea Transplant Center), การเปิด ‘คลินิกคุณภาพการนอนหลับ’ (Comprehensive Sleep Clinic), การพัฒนาคุณภาพของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ เพื่อให้บริการด้านจีโนมิกส์ด้วยเทคโนโลยี Next Generation Sequencing (NGS) ที่ช่วยในการถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อทำนายโรค, การเปิดตัว Radiology AI นวัตกรรมที่เข้ามาช่วยรังสีแพทย์ในการวิเคราะห์และระบุตำแหน่งภาวะความผิดปกติของปอดและมะเร็งเต้านมระยะแรกเริ่มได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการปรับตัวสู่การเป็น Digitized Hospital โดยนำประโยชน์ของเทคโนโลยีด้านดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริการ มีการพัฒนา Bumrungrad Application ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มฟีเจอร์ Bumrungrad FastTrack Pay เพื่อความสะดวกในการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น โดยไม่จำเป็นต้องรอชำระเงินหน้าเคาน์เตอร์ เป็นต้น
สำหรับปี 2566 ภายใต้แนวคิดของ 4C1W บำรุงราษฎร์ประกาศให้เป็นปีสู่ความเป็นเลิศ (Year of Excellence) โดยมีเสาหลักด้านความเป็นเลิศ 4 ประการ ได้แก่
- ความเป็นเลิศด้านบุคลากร (People Excellence) บุคลากรโรงพยาบาล คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด บำรุงราษฎร์มีนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องในการสรรหา สร้าง รักษา และพัฒนาบุคลากรให้เติบโตไปพร้อมกับองค์กร ตลอดจนปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งจากรุ่นสู่รุ่น หนึ่งในกิจกรรมที่บำรุงราษฎร์ทำมาโดยตลอด คือ การสร้างและพัฒนาให้มีบุคลากรด้านการแพทย์และการพยาบาลที่ทรงคุณค่าให้แก่โรงพยาบาลและแก่ประเทศชาติ ซึ่งรวมถึงการให้ทุนการศึกษาแก่พยาบาล โดย ศ. นพ. นิมิต เตชไกรชนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรบำรุงราษฎร์ และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยและการศึกษา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า โรงพยาบาลมีสถาบันทางวิชาการที่ส่งเสริมด้านการศึกษาและฝึกอบรมเพื่อให้บุคลากรมีความรู้ที่ทันสมัยอยู่เสมอ ถือได้ว่าปัจจุบันบำรุงราษฎร์เป็น ‘สถาบันวิชาการทางการแพทย์ภาคเอกชน’ หรือ Academic Private Hospital อย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งยังสนับสนุนให้แพทย์และบุคลากรได้มีโอกาสทำงานวิจัย ตีพิมพ์ผลงานในวารสารทางวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ซึ่งนับเป็นการถ่ายทอดแบ่งปันองค์ความรู้ขององค์กรไปสู่สาธารณชนอีกด้วย โดยล่าสุด บำรุงราษฎร์ได้รับรางวัลสุดยอดองค์กรไทย Thailand Best Employer Brand Award 2023 ได้แก่ รางวัลองค์กรนายจ้างยอดเยี่ยมของไทย และรางวัลองค์กรยอดเยี่ยมด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อฝึกอบรมและเรียนรู้ รวมถึงได้รับการยกย่องจาก Hospital Management Excellence Award 2022 ให้เป็นผู้ชนะเลิศในหมวดความหลากหลาย (Diversity) ในฐานะองค์กรด้านสาธารณสุขที่มีบทบาทโดดเด่นในการเคารพความแตกต่างหลากหลาย นับเป็นเครื่องการันตีถึงความเป็นเลิศด้านบุคลากร
- ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Clinical Excellence) การแพทย์ นับเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้รับบริการ รศ.นพ. ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งโรงพยาบาลและก้าวเข้าสู่ปีที่ 43 บำรุงราษฎร์ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาและยกระดับศูนย์รักษาโรคมาโดยตลอด ซึ่งในปีนี้ โรงพยาบาลฯ มีการยกระดับศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Center of Excellence) ได้แก่ สถาบันหัวใจ ศูนย์มะเร็งฮอไรซัน ศูนย์โรคระบบประสาท ศูนย์ทางเดินอาหารและตับและลำไส้ และศูนย์จักษุ ซึ่ง 5 ศูนย์ความเป็นเลิศนี้ เปรียบเสมือนเรือธงในการขับเคลื่อนการรักษาพยาบาลในปี 2566 ขณะที่ศูนย์การรักษาอื่น ๆ ยังคงให้บริการด้วยคุณภาพมาตรฐานและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานของบำรุงราษฎร์ทุกประการ โดยบำรุงราษฎร์มีองค์แพทย์ที่เข้มแข็ง ทำหน้าที่กับการกำกับดูแลทางการแพทย์ (Clinical Governance) ซึ่งเป็นธรรมภิบาลของแพทย์ เพื่อให้การประกอบวิชาชีพของแพทย์ให้เป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามจริยธรรมและศีลธรรม (Moral) อย่างถูกต้องเหมาะสม และเป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีกระบวนการตอบสอบภายในอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล ตลอดจนมีแผนระยะยาวในการเตรียมแพทย์รุ่นใหม่ให้มีความพร้อมในการก้าวขึ้นมาเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการและแพทย์ผู้บริหารของโรงพยาบาลในรุ่นต่อไป (Building Tomorrow Doctors) ด้วยการออกแบบหลักสูตรพัฒนาแพทย์ที่เป็นแบบฉบับของบำรุงราษฎร์เอง รวมไปถึงการขยายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ อาทิ ศูนย์มะเร็ง ร่วมกับโรงพยาบาลพันธมิตร ได้แก่ โรงพยาบาลพิษณุเวช และ โรงพยาบาลนครธน เพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพมาตรฐาน
- ความเป็นเลิศด้านคุณภาพและความปลอดภัย (Quality and Safety Excellence) คุณภาพและความปลอดภัย คือ หัวใจสำคัญอีกประการของบำรุงราษฎร์ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงที่เกิดการระบาดของโรค บำรุงราษฎร์แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการให้องค์กรอิสระภายนอกเข้ามาตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรฐานคุณภาพโรงพยาบาลระดับสากล (JCI), มาตรฐานคุณภาพโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ ‘ขั้นก้าวหน้า’ (A-HA), การรับรองจาก Global Healthcare Accreditation (GHA) ในระดับความเป็นเลิศมาตรฐานสากลในการดูแลกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เดินทางเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย, ความเป็นเลิศในมาตรฐานด้านการปฏิบัติงานด้านพยาธิวิทยาและเวชศาสตร์ชันสูตรของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์จากวิทยาลัยพยาธิแพทย์อเมริกัน (CAP) ซึ่งคุณภาพและความปลอดภัย นับเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของคุณภาพของสถานพยาบาล
- ความเป็นเลิศในการส่งเสริมประสบการณ์ผู้ป่วย (Patient Experience Excellence) บำรุงราษฎร์มีแผนการดำเนินงานอย่างชัดเจนในการให้บริการด้วยความเป็นเลิศต่อผู้ป่วย ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมองค์กรอันล้ำค่าที่ถ่ายทอดกันมาสู่ปีที่ 43 ในปี 2566 โรงพยาบาลฯ ได้มีการปรับปรุงวิถีแห่งบำรุงราษฎร์ (Bumrungrad Way) ซึ่งเป็นแนวปฎิบัติของบุคลากรในการบริการผู้ป่วยที่เป็นแบบฉบับของบำรุงราษฎร์เองให้สอดรับตามยุคสมัย แต่ยังคงแนวปฏิบัติที่ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางในการรักษาพยาบาล นำไปสู่การให้บริบาลด้วยความเอื้ออาทร (compassionate caring) นับเป็นเอกลักษณ์ของบำรุงราษฎร์ที่สร้างความแตกต่าง ทำให้ผู้ป่วยและผู้ใช้บริการได้รับประสบการณ์เชิงบวก เกิดความประทับใจและบอกต่อไปยังบุคคลอื่น ๆ นับเป็นการสร้างความเชื่อมั่นที่ดีที่สุดของโรงพยาบาล
ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ กล่าวปิดท้ายว่า “ด้วยบทพิสูจน์ที่ผ่านมา และความพร้อมที่จะก้าวสู่ปีแห่งความเป็นเลิศในปี 2566 นี้ บำรุงราษฎร์มีความมุ่งมั่นอย่างมากในการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ที่เอื้อให้เกิดการเติบโตทางธุรกิจ (Growth) เพื่อจะบรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นจุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด ซึ่งเราจะไม่สามารถบรรลุวิสัยทัศน์นี้ได้ หากปราศจากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ซึ่งเป็นสถาบันเวชศาสตร์ชะลอวัยแบบบูรณาการ เป็นผู้บุกเบิกและวางรากฐานเวชศาสตร์เชิงป้องกันเป็นแห่งแรกในเอเชีย โดยมุ่งหวังให้ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ
ปัจจุบัน ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ เติบโตอย่างมากและสร้างรายได้กว่า 1 พันล้านบาทในปี 2565 รวมถึงบริการที่ RAKxa (รักษ) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมที่บางกระเจ้า และพันธมิตรอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นอีกบทพิสูจน์ของบำรุงราษฎร์ที่เสริมศักยภาพการเป็นจุดหมายแห่งการดูแลสุขภาพและสุขภาวะที่น่าเชื่อถือที่สุด และยังเป็นการเสริมจุดแข็งด้านการแพทย์ของไทย สู่เป้าหมายของการเป็น ‘ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ’ หรือ ‘การแพทย์ครบวงจร’ (Medical Hub) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) สร้างชื่อเสียงความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ และสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบให้กับประเทศชาติ”