เครียด พักผ่อนน้อย เสี่ยง “โรคลมพิษ” จริงหรือ?

โรคลมพิษ ผื่นคันที่เกิดขึ้นบนผิวหนังเป็นอาการที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยพบมากที่สุดในช่วงอายุ 20-40 ปี
หรือ “วัยทำงาน” สาเหตุของลมพิษที่พบบ่อย ได้แก่ อาหาร ยา การติดเชื้อ หรือแมลงกัดต่อย และไม่ทราบ
สาเหตุ นอกจากนี้ ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอก็สามารถกระตุ้นให้เกิดผื่นลมพิษได้ เช่นกัน
ลมพิษแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
ลมพิษชนิดเฉียบพลัน (Acute Urticaria) ลมพิษที่เกิดขึ้นและหายไปได้เองอย่างรวดเร็ว โดยสวนใหญ่
อาการจะหายไปเองภายในเวลา 2 สัปดาห์ หรือในรายที่เป็นนานมักจะเป็นติดต่อกันไม่เกิน 6 สัปดาห์
ลมพิษชนิดเรื้อรัง (Chronic Urticaria) มีอาการลมพิษ เป็นๆหายๆ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์และเป็น
ต่อเนื่องกันเกิน 6 สัปดาห์ขึ้น ไปโดยสวนใหญ่ลมพิษชนิดเรื้อรังจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาการของ
ลมพิษจะทำให้เกิดความรำคาญหรือความไม่สบายตัว ซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีวิตหรือการนอนหลับของผู้
เป็นลมพิษได้
เมื่อเป็นโรคลมพิษควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
ค้นหาสาเหตุและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดลมพิษ
รับประทานยาและทายาตามที่แพทย์แนะนำ
หลีกเลี่ยงความเครียด ความวิตกกังวัล และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงการเกา ขัด หรือถู บริเวณผื่นลมพิษ
การรักษาโรคลมพิษมีอะไรบ้าง?
ยาต้านฮีสตามีน ซึ่งมีตัวยาหลายกลุ่ม การจะเลือกใช้ยาตัวใดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ การตอบ
สนองต่อยาต้านฮีสตามีนในผู้ป่วยแต่ละรายอาจไม่เหมือนกัน ผู้ป่วยบางรายใช้ยาเพียงตัวเดียวก็ได้ผลดี
แต่บางรายแพทย์อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ยาต้านฮีสตามีนในกลุ่มอื่น หรือใช้ยาหลายตัวร่วมกัน เพื่อควบคุม
คาลาไมน์โลชั่น ช่วยบรรเทาอาการคันบริเวณที่เกิดลมพิษได้ สามารถใช้ร่วมกับครีมชุ่มชื้นอื่นๆ โดยแนะนำแบบที่ไม่มี
ส่วนผสมของน้ำหอม เพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย
ลมพิษเป็นโรคที่รักษาได้ มีวิธีในการดูแลและรักษา ผู้ป่วยควรดูแลเรื่องอาหาร ยา พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยง
ความเครียดทั้งทางกายและอารมณ์จิตใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดลมพิษได้ทั้งสิ้น
อาการ
บทความโดย : แพทย์หญิง ทิวานันท์ พรหมวรานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล