เป็นต่อกรุ๊ป คิกออฟ โครงการ “เป็นต่อ เพื่อโอกาสที่ยั่งยืน”
ทุ่มกว่า 1 ล้านบาท มอบทุนการศึกษา ให้โรงเรียนในอยุธยาที่ขาดแคลน
เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว สำหรับโครงการ CSR “โครงการเป็นต่อ เพื่อโอกาสที่ยั่งยืน” เฟส 1 โดย บริษัท เป็นต่อกรุ๊ป (PENTOR GROUP) หรือ PTG กลุ่มธุรกิจครบวงจรเพื่อไลฟ์สไตล์ล้ำสมัยของคนยุคใหม่ เปิดตัวโครงการ CSR “โครงการเป็นต่อ เพื่อโอกาสที่ยั่งยืน” เฟส 1 ทุ่มกว่า 1 ล้านบาท จัดกิจกรรม “มอบทุนการศึกษา” ให้กลุ่มโรงเรียนแควน้อย 7 แห่ง ใน จ.อยุธยา ที่ขาดแคลน หวังสร้างแรงบันดาลใจ ร่วมกันสร้างสรรค์สังคมแห่งการแบ่งปัน
กิจกรรมเมื่อวันก่อน จัดขึ้นที่ โรงเรียนวัดไทรโสภณ (ปราสาททองโอสถสงเคราะห์) อ.บางไทรจ.พระนครศรีอยุธยา ภายในงานได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหาร นำโดย นายวสวัตติ์ มุครสกุล ที่ปรึกษาระดับสูง ฝ่ายบริหารกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท เป็นต่อ กรุ๊ป โดยมี นายสุวรรณ บู่บาง ผู้อำนวยการโรงเรียนสินสังวาลย์อุทิศ และประธานกลุ่มโรงเรียนแควน้อย, นางนันท์นลิน โปร่งทอง รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไทรโสภณ (ปราสาททองโอสถสงเคราะห์) และคณะครู ตลอดจนบุคลากรทางการศึกษา ในกลุ่มโรงเรียนแควน้อย ทั้ง 7 แห่ง ให้การต้อนรับ ท่ามกลางผู้มีเกียรติ และพี่น้องชาวบางไทร ร่วมงาน
นายวสวัตติ์ มุครสกุล ที่ปรึกษาระดับสูง ฝ่ายบริหารกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท เป็นต่อ กรุ๊ป(PENTOR GROUP) หรือ PTG กล่าวภายในงานว่า PTG เป็นกลุ่มธุรกิจครบวงจรเพื่อไลฟ์สไตล์ล้ำสมัยของคนรุ่นใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจพัฒนาดิจิตอลแพลตฟอร์ม, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, บริการรับแลกเปลี่ยนเงินตรา, แพลตฟอร์มเภสัชกรออนไลน์, และกลุ่มธุรกิจใหม่ล่าสุดอย่าง WiPay ที่กำลังจะเปิดตัวกลางปีนี้ กับมิติใหม่ ในการใช้จ่ายและชำระเงินแบบครบวงจร “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้มุ่งมั่นในการพัฒนาจนธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว และมั่นคง แต่เราเชื่อว่า การจะทำธุรกิจที่ยั่งยืนนั้น จะต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติ ให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืนด้วย บริษัทฯ จึงมีนโยบาย CSR เพื่อแสดงความรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคม
“สำหรับโครงการ ‘เป็นต่อ เพื่อโอกาสที่ยั่งยืน’ ในครั้งแรกนี้ เราจะมอบทุนการศึกษาให้แก่น้อง ๆ นักเรียนที่มีฐานะยากจน ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า น้ำใจ และโอกาสที่เรามอบให้ในครั้งนี้ จะก่อเกิดเป็นความหวัง สร้างกำลังใจ ให้กับน้องๆ ได้มีความมุมานะในด้านการศึกษา เพื่อจะเติบโตขึ้นเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ ร่วมกันพัฒนาสังคม และประเทศชาติให้ดีต่อไปในอนาคต” นายวสวัตติ์ กล่าว
ภายในงาน ได้จัดให้มีการมอบทุนการศึกษาให้กับตัวแทนกลุ่มโรงเรียนแควน้อยทั้ง 7 แห่ง ซึ่งมีนักเรียนตัวแทนในสังกัดตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงประถมศึกษาตอนปลาย โดยมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลน จำนวน 140 ทุน พร้อมมอบ อุปกรณ์การศึกษา และสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กๆ รวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาท
สำหรับกลุ่มโรงเรียนแควน้อย รวม 7 โรงเรียน ประกอบด้วย โรงเรียนวัดไทรโสภณ (ปราสาททองโอสถสงเคราะห์), โรงเรียนบ้านบางพลี, โรงเรียนวัดสุนทราราม, โรงเรียนวัดช่างเหล็ก, โรงเรียนวัดศิริสุขาราม, โรงเรียนสินสังวาลย์อุทิศ และโรงเรียนวัดหน้าต่างใน
ด้าน นายสุวรรณ บู่บาง ผู้อำนวยการโรงเรียนสินสังวาลอุทิศ ในฐานะประธานกลุ่มโรงเรียนแควน้อย กล่าวว่า ในนามของคณะครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน สังกัดกลุ่มโรงเรียนแควน้อย ขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีอย่างเป็นต่อกรุ๊ปเป็นอย่างสูง ที่กรุณาเดินทางมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ โดยมีความรักห่วงใย และความมุ่งหวังอันบริสุทธิ์ ให้เด็กที่ขาดแคลนได้รับโอกาสที่ดี และมุ่งหวังให้เขาเป็นคนดี ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งการเรียน และการทำงานในอนาคต โดยดำรงตนให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ ผมเชื่อว่าการได้รับทุนในครั้งนี้ จะเป็นกำลังใจพร้อมจุดประกายแห่งความหวังให้เด็กๆ ได้มีอนาคตที่ดี และทำให้พวกเขาเห็นว่าในสังคมไทยยังมีผู้เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา และพร้อมจะช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน บรรยากาศแห่งการแบ่งปันยังคงพบได้เสมอ ผมขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล จงดลบันดาล อภิบาล ประทานพรให้ คณะผู้บริหารและพนักงานเป็นต่อกรุ๊ป จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ กิจการงานก้าวหน้ารุ่งเรือง
ภายหลังจากนั้น คณะครูได้นำคณะผู้บริหารเยี่ยมชมภายในบริเวณโรงเรียน อาทิ จุดแปลงเกษตร พืชผักสวนครัวเพื่ออาหารกลางวัน, ห้องคอมพิวเตอร์ และห้องสมุด รวมถึงได้มีการตักอาหารกลางวันแจกให้กับเด็กนักเรียนอีกด้วย กระทั่งกิจกรรมจบลงด้วยความประทับใจ เรียกว่าอิ่มใจทั้งผู้ให้ สุขใจทั้งผู้รับ
นอกจากกิจกรรมในครั้งนี้แล้ว เร็วๆ นี้ คณะผู้บริหารและพนักงานเป็นต่อกรุ๊ป มีแผนจะเดินทางไปมอบทุนการศึกษา และอุปกรณ์การเรียน การศึกษา อุปกรณ์กีฬา ยังกลุ่มโรงเรียนเป้าหมายที่ขาดแคลนให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคมนี้ ด้วยงบประมาณรวมกว่า 1 ล้านบาท